KHRAMER สกินแคร์ไทยที่ใช้รากครามเหลือทิ้งจากการย้อมผ้ามาชโลมผิววิ้ง  

หากคิดถึงผลิตภัณฑ์จาก “คราม” ทุกคนอาจคิดถึง “ผ้าลายคราม” เป็นหลัก แต่วันนี้ The Optimized พาไปรู้จักแบรนด์ KHRAMER ที่กล้าฉีกครามออกจากโลกแฟชั่น และก้าวไปในตลาดใหม่ในหมวดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากธรรมชาติ

Photo: khramer.com

ความน่าสนใจของแบรนด์ KHRAMER อยู่ที่

  1. นำส่วนเหลือทิ้งจากกระบวนย้อมครามมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้
  2. สะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทยทั้งในเรื่องเล่าของแบรนด์และในตัวของผลิตภัณฑ์
  3. เจาะตลาดความงามและ Personal Care ทั่วโลกด้วยโลโก้ “Made in Thailand”

Photo: khramer.com

สรรพสิ่งล้วนแล้วแต่มีคุณค่าในตัวเอง

ปักหมุดไปที่ จ. สกลนคร ดินแดนผ้าย้อมครามแห่งอีสาน คุณติงลี่-คมกฤช ภู่ทอง เล็งเห็นคุณค่าาของ “รากคราม” ซึ่งแต่เดิมเกษตรกรจะใช้ส่วนต่างๆ ของต้นครามมาหมักเป็น “น้ำคราม” ทั้งลำต้น กิ่งก้าน ใบ ยกเว้นเพียงรากที่ถูกทิ้งให้เป็นซากทางการเกษตร และลงท้ายด้วยการขุดถอนขึ้นมาเผาทิ้ง

คุณติงลี่จึงใช้องค์ความรู้ทางด้านเภสัชกรรมแพทย์แผนไทยที่ร่ำเรียนมา คิดต่อยอดว่า ทำอย่างไรเกษตรกรไทยจึงใช้ประโยชน์จากต้นครามได้อย่างสูงสุด และ นำเสนอสินค้าที่ช่วยแก้ปัญหาให้ผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด

Photo: khramer.com

ผ้าย้อมครามมีวิจัยบ่งชี้ว่ามีคุณสมบัติป้องกันรังสียูวี เกษตรกรจึงนิยมสวมใส่เพื่อป้องกันผิวจากการไหม้แดด และสำหรับรากคราม คุณติงลี่พบว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระเข้มข้นกว่าส่วนอื่นๆ ด้วยสรรพคุณป้องกันรังสียูวี สมานแผล ลดอาการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ฯลฯ

ถึงเวลาที่รากครามจะเฉิดฉายในฐานะ “ปราการปกป้องผิว”  และกระโดดลงสนามความงามและ Personal Care อย่างเต็มภาคภูมิ

Photo: khramer.com

เรื่องราวของปราการปกป้องผิว

แบรนด์ตั้งใจทำ “สกินแคร์จากรากคราม” โดยหยิบข้อเท็จจริงในงานวิจัยมาบอกเล่าเป็น Brand Storytelling แบบน่ารักๆ ว่า “KHRAMER เปรียบเสมือนผ้าย้อมครามที่ช่วยห่อหุ้มและปกป้องผิวของผู้ใช้ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์…ที่ผู้ใช้ทั้งคนไทยและต่างชาติได้ใช้ประโยชน์จากภูมิปัญญาท้องถิ่น”

ทำไมต้องเป็น KHRAMER (ครามเมอร์)?

ก็เพราะแบรนด์นำสิ่งสำคัญ 3 สิ่งที่เป็นหัวใจหลักมาสมาสกัน ได้แก่ Khram (คราม) + Farmer (เกษตรกร) + Charmer (คนมีเสน่ห์) ซึ่งคำที่ 3 นี้หมายถึงลูกค้า แบรนด์จึงพุ่งเป้าไปที่เจนวาย ผู้ใส่ใจกับคุณค่าของผลิตภัณฑ์และสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก

Photo: khramer.com

สกินแคร์จากรากคราม

ในไลน์สกินแคร์ของ KHRAMER ประกอบไปด้วย

  • Natural Indigo Salts

ดอกเกลือออร์แกนิกที่ผลิตจากเกลือสินเธาว์ ผสานคุณค่าจากครามธรรมชาติ พร้อมผสมน้ำมันหอมระเหย 100% ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดความหมองคล้ำ ป้องกันแบคทีเรีย ลดการอักเสบของผิว และบำรุงผิวพรรณไปในตัว

  • Indigo Root Extract Facial Serum

เซรั่มเนื้อเอสเซนส์น้ำนม ที่อุดมไปด้วยสารสกัดเข้มข้นจากรากคราม ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น บำรุงผิว ปลอบประโลม ช่วยเพิ่มสมดุลและความแข็งแรงของผิว

  • Indigo Root Extract Facial Sunscreen SPF50 PA++++

ครีมกันแดดผิวหน้าที่ผสานคุณค่าสารสกัดจากรากคราม สามารถปกป้องผิวจากรังสี UVA และ UVB ได้อย่างยาวนาน พร้อมช่วยปลอบประโลมและลดการระคายเคือง

Photo: khramer.com

แบรนด์เครื่องสำอางไทยที่น่าจับตามอง

KHRAMER กลายเป็นที่น่าจับตามองในฐานะสกินแคร์จากธรรมชาติที่มีศักยภาพในเวทีส่งออก  เป็น 1 ใน 30 แบรนด์ ที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ คัดเลือกไปร่วมนิทรรศการ “ต่อยอดแบรนด์ไทยสู่ตลาดสากล หรือ Ready Set Go” ในปี 2565 ในฐานะกลุ่มแบรนด์ไทยที่สร้างความแข็งแกร่งในการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ หมวดกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม (Health and Beauty Products) เพื่อเตรียมบ่มเพาะและพัฒนาในเวทีส่งออกต่อไปในอนาคต

Photo: khramer.com

โครงการพุ่งเป้าไปที่แบรนด์ที่มีศักยภาพในการเลือกสรรวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การบอกเล่าเรื่องราวธุรกิจที่ไม่เหมือนใคร เพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้สินค้าและบริการไทยเป็นที่รับรู้และจดจำแก่ผู้บริโภคทั้งในไทยและต่างประเทศ

ล่าสุด KHRAMER กลายเป็น 1 ใน 22 สินค้าสำคัญที่ปรากฏในงาน Naturally Good Expo ณ เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย งานแสดงสินค้าด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่มีวัตถุดิบจากธรรมชาติออร์แกนิก และสอดรับวิถีชีวิตแบบยั่งยืนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้รักสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของออสเตรเลีย

Photo: khramer.com

โอกาสของสกินแคร์จากธรรมชาติในตลาดต่างประเทศ

เส้นทางของ KHRAMER ส่องสว่างแค่ไหนในตลาดความงามและ Personal Care ทั่วโลก

คุณเกตุมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย เผยว่า แม้วงการเครื่องสำอางมีการแข่งขันรุนแรง ง มีต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งสูงขึ้น แต่คาดการณ์ว่า ปี 2024 วงการธุรกิจเครื่องสำอางไทยน่าจะมีมูลค่าถึง 3.40 แสนล้านบาท ขยายตัวสูงขึ้น 9.5%

เจ้าของธุรกิจจึงควรรักษาคุณภาพของสินค้า ตลอดจนกำกับในโลโก้ผลิตภัณฑ์ว่า “Made in Thailand” เพราะเครื่องสำอางไทยยังคงได้รับความเชื่อมั่นจากนานาชาติ

Photo: khramer.com

กลุ่มเครื่องสำอางที่มาแรง ได้แก่

  1. กลุ่ม Anti-Aging
  2. กลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและแต่งหน้าจากธรรมชาติ และไม่มีส่วนผสมจำนวนมาก
  3. ผลิตภัณฑ์เน้นความงามจากภายในจากภายนอก
  4. กลุ่มเครื่องสำอางที่เน้นบำรุงให้ผิวฉ่ำน้ำ ดูมีสุขภาพ

ในมุมมองตลาดโลก คุณแพทริก จีโร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล ประเทศไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา เผยว่า ตลาดความงามและ Personal Care ในประเทศไทยนับว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงเป็นอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ เติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคและของโลก

  • ในปี 2566 ตลาดความงามและ Personal Care ทั่วโลกโต 8% ตลาดของไทยโตกว่า 12%
  • ในปี 2567 ตลาดความงามและ Personal Care ทั่วโลกโต 4-5% ตลาดของไทยโตกว่า 8%

Photo: khramer.com

เนื่องจาก พฤติกรรมของผู้บริโภคในไทยไกล้เคียงกับตลาดใหญ่ของโลก อย่างยุโรปหรืออเมริกา ที่คนสนใจการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะการใช้สกินแคร์ จึงคาดการณ์ว่าภายในปี 2573 จะมีฐานผู้บริโภคมากกว่า 50 ล้านคน คาดว่าตลาดความงามและ Personal Care จะเติบโตได้เช่นกัน

Photo: khramer.com

การฉีกกฎ คราม = สินค้าแฟชั่น มาลงสนามตลาดความงามและ Personal Care จึงเป็นสิ่งที่ KHRAMER กาข้อสอบถูกแบบไม่มีข้อกังขา และยิ่งเป็นสกินแคร์ที่รังสรรค์จากธรรมชาติโดยส่งเสริมอัตลักษณ์ไทยอย่างชัดเจน จึงไม่แปลกใจว่าเส้นทางของ “รากคราม” KHRAMER จะขุดจากดินในสกลนคร แล้วปั้นเป็นดาวในตลาดโลกต่อไปได้อย่างสวยงาม

Words: Varichviralya Srisai

ข้อมูลจาก

you might like

Scroll to Top