ปาล์มมี่สอนแฟนคลับให้ฝึกสื่อสาร อย่ารอให้คนอื่นมาเข้าใจ เพราะ “ไม่มีหรอกคนๆ นั้น”

“ไม่ว่าจะงานอะไรที่เราต้องทำกับคนอื่น เราต้องสื่อสารให้ได้ เราไม่ได้เป็นเซนเตอร์ของทุกๆ อย่าง ให้ทุกอย่างหมุนเข้าหาเราอาจจะยากไป ถ้าไม่รีบก็อยู่ชิลๆ ไป แต่ถ้ารีบก็ยิ่งต้องเร่งเลยค่ะ หมุนตัวเองหน่อย

“มี่เข้าใจเรื่องนี้นะคะ แต่ก่อนเป็นคนไม่ค่อยสื่อสารเหมือนกัน ทำให้เข้าใจว่าคนรอบข้างเขาไม่เข้าใจว่าเราจะพูดอะไร เรานั่งเงียบ เราไม่อธิบาย และคิดว่าคนนี้น่าจะเข้าใจ แต่มันไม่มีคนคนนั้นหรอกค่ะ ไม่มีใครเข้าใจเราได้ 100% เพราะฉะนั้น เราต้องสื่อสารให้เข้าใจ ให้รู้เรื่อง การสื่อสารคือเบสิกของการทำงาน ยิ่งเราพูดรู้เรื่อง เรายิ่งได้แต้มต่อ คนอื่นเขาจะทำงานกับเราได้ง่ายขึ้น เขาอยากจ้างงานเรามากขึ้น ลองไปเวิร์กตรงนี้ดู

“บางครั้งชีวิตจะมาอาย แล้วอยู่ในมุมของตัวเองมันไม่ได้ นอกจากว่าคุณจะมีธุรกิจส่วนตัว เล่นหุ้นคนเดียวไป มี่อยากเห็นคุณเจริญก้าวหน้า มีความสุขในชีวิต ไม่อยากเห็นคุณถูกทิ้งไว้ข้างหลัง…”

แฟนคลับรายนี้โพสต์คลิปที่ไปเจอ ปาล์มมี่ หลังคอนเสิร์ต และขอคำปรึกษาจากศิลปินคนโปรด ซึ่งปรากฏว่านอกจากพี่มี่จะรับฟังอย่างดีแล้ว ยังให้คำแนะนำจริงจังจนความจริงใจพุ่งทะลุหน้าจอ และมันก็เป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์นำไปใช้ได้อย่างแท้จริงด้วย

ไม่เฉพาะแค่เหล่ามิตรรักของพี่มี่ แต่ The Optimized ชวนทุกคนมาฝึกสื่อสาร พูดความคิดความต้องการของตัวเองออกมา จะได้เจริญก้าวหน้าในชีวิตยิ่งๆ ขึ้นไปสมพรปากของพี่มี่

สกิลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของมนุษยชาติ

Stephen Hawking นักฟิสิกส์ชื่อดังผู้เสนอ ทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง (Theory of Everything) ที่ทำให้มนุษย์ไขความลับของจักรวาล และล่วงรู้ความคิดของพระเจ้าได้

ฮอว์กิงเคยกล่าวไว้ว่า “เป็นเวลาหลายล้านปีที่มนุษย์ใช้ชีวิตเยี่ยงสรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วก็เกิดสิ่งหนึ่งขึ้นที่ปลดปล่อยพลังแห่งจินตนาการของพวกเรา มนุษย์เรียนรู้ที่จะพูด พวกเราเรียนรู้ที่จะฟัง

การพูดนั้นอนุญาตให้เราได้สื่อสารความคิด ทำให้มนุษย์สามารถร่วมกันสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ขึ้นมา ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติจึงมาพร้อมการพูด และก็นับว่าเป็นความล้มเหลวอันยิ่งใหญ่หากมนุษย์ไม่พูด ความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรากลายเป็นความเป็นจริงได้ในอนาคต ด้วยเทคโนโลยีที่เราแจกจ่ายกันใช้ ความเป็นไปได้ได้คลี่คลายตัวออกมา ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือ มนุษย์เอย จงพูดต่อไป”

Photo: Freepik

HAIL หลักการพูดให้คนอยากฟัง

Julien Treasure หยิบยกโควตคำพูดนี้ของฮอว์กิงขึ้นมาด้วยความซึ้งใจ ในฐานะที่เขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงและการสื่อสาร ทั้งยังเป็นนักพูด Ted Talk ถึง 5 ครั้ง รวมยอดวิวกว่า 100 ล้านวิว จูเลียนแชร์วิธีการพูดที่มากไปกว่าการพูดคล่อง พูดเก่ง แต่โดยวิดีโอยอดวิวสูงสุดของเขาคือ ‘พูด’ อย่างไรให้คน ‘อยากฟัง’ ซึ่งมีหลักการง่ายๆ คือ HAIL

H: honesty ซื่อสัตย์ อย่าปิดบัง แอบซ่อน หรือบิดเบือนความจริงเมื่อสื่อสารกับใครก็ตาม พูดไปตามสิ่งที่เป็น บอกไปตามจริง ยิงเข้าเป้าไปตรงๆ นั่นละคือวิธีที่คุณจะสร้างความเชื่อใจและได้รับความเคารพนับถือจากผู้อื่น

A: authenticity จริงใจ อย่าพยายามเป็นสิ่งที่คุณไม่ได้เป็น คนอื่นเขาได้กลิ่นทะแม่งๆ จากคุณได้มาแต่ไกลเชียวละหากว่าคุณเฟก จงเป็นตัวเอง อย่าแชร์ความจริงแท้ในตัวคุณให้คนอื่นๆ พูดมาจากหัวใจ ให้ตัวตนของคุณแผ่ออกมาจากภายใน เปิดเผยความคิดอ่านในแบบที่สอดคล้องกับตัวตนและคุณค่าของคุณ นั่นละคือวิธีที่คุณจะสร้างสายสัมพันธ์กับคนอื่นได้

I: integrity ให้เกียรติ การถือปฏิบัติในหลักการที่ดีงาม รู้ว่าอะไรถูก-ผิด คือสิ่งที่คุณต้องมีทุกลมหายใจเข้าออก เพราะนั่นจะทำให้คุณเป็นคนที่มีเกียรติและมีศักดิ์ศรีโดยไม่ต้องพึ่งพาบารมีคนอื่นหรือวัตถุสิ่งของนอกกาย และจะทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในตัวคุณว่าจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง

L: love เปี่ยมรัก ความรักคือพลังงานบวกที่มีพลานุภาพทะลุทะลวงผ่านการสื่อสารของคุณเข้าไปจับหัวใจคนฟังได้ การพูดด้วยความเมตตาปราณีและความเข้าอกเข้าใจคนอื่นจึงสำคัญมาก ขอให้เลือกเฟ้นถ้อยคำที่ชุบชูจิตใจและให้แรงบันดาลใจผู้ฟังได้จะยิ่งดี

Photo: Freepik

พูดแบบไหนสำคัญพอกับเลือกคำที่จะพูด

นอกจากนี้การพูดออกไปแบบไหนก็สำคัญไม่แพ้กับกับการเลือกคำที่จะพูด พูดแบบไหนอาจจะสำคัญกว่าด้วยซ้ำ และนี่คือวิธีการพูดที่สะกดคนฟังได้อยู่หมัด

1.เลือกช่องเสียง

คุณมีตัวเลือกใช้เสียงได้ 3 ทาง คือ head voice เสียงบางใสอ่อนโยน หรือที่เรียกว่าเสียงสอง, chest voice เสียงหนา มีความแข็งแรง เป็นเสียงพูดตามปกติของเรา และ middle voice เสียงหนักแน่น กังวาน ให้เลือกว่าเสียงไหนที่ใช่กับเรื่องนั้นๆ บางครั้งคุณอาจเลือกใช้ chest voice เพื่อให้สิ่งที่พูดมีน้ำหนักและมีอำนาจ หรือเวลาต้องพูดเรื่องที่เซนซิทีฟก็อาจต้องใช้ head voice เป็นต้น ฝึกใช้เสียงแบบต่างๆ จะช่วยให้เลือกช่องเสียงให้เหมาะกับเนื้อหาที่จะพูดได้ดีขึ้น

2.เสียงสื่อความรู้สึก

เสียงของคุณให้ความรู้สึกอย่างไรต่อคนฟังนั้นสำคัญมาก มีผลวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า คนเราชอบเสียงลุ่มลึก อบอุ่น ลื่นไหล แต่ถ้าคุณไม่ได้มีน้ำเสียงแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะคนเราฝึกกันได้ โดยเริ่มฝึกหายใจ กิริยาท่าทาง และเทคนิคต่างๆ เพื่อพัฒนาน้ำเสียงให้มีคุณลักษณะอย่างที่ต้องการ

3.ฝึกการออกเสียงสูงต่ำ

นี่คือจุดที่คุณจะเริ่มสอดแทรกความหมายลงไปในคำพูด การใช้เสียงสูงต่ำ พูดเน้นคำบางคำจะช่วยถ่ายทอดความรู้สึกได้ดีขึ้น ต่างจากการพูดราบเรียบเนื้อเสียงเดียวกันเหมือนเล่นดนตรีอยู่โน้ตเดียวจะทำให้เรื่องที่น่าสนใจกลายเป็นไม่น่าสนใจไปอย่างเสียของ จึงต้องฝึกเปลี่ยนวิธีพูดโมโนโทนเป็นการพูดโดยใช้โทนที่หลากหลายขึ้น

Photo: Freepik

4.จังหวะการพูด

คุณจะจับความสนใจคนได้ในทันทีหากว่ามีจังหวะจะโคนในพูดที่ดี บางประโยคพูดเร็วให้คนฟังตื่นเต้น บางประโยคพูดช้าลงเพื่อเน้นย้ำประเด็นสำคัญ จังหวะและเสียงสูงต่ำเมื่อใช้ร่วมกันจะช่วยใส่ความรู้สึกให้กับถ้อยคำของคุณได้

5.รู้ว่าตอนไหนควรหยุดพูด

ความเงียบนั้นทรงพลังพอๆ กับคำที่พูดออกมา และการพูดที่น่าฟังคือรู้ว่าตอนไหนที่ต้องหยุดพูด แล้วปล่อยให้ความเงียบทำงานกับความรู้สึกหรือความคิดของผู้ฟังบ้าง บางช่วงอาจหยุดพูดเพื่อเป็นการเน้นย้ำ สร้างความสงสัยใคร่รู้ ความฉงนชวนติดตาม หรือให้เวลาคนฟังได้ตกตะกอนคิดถึงสิ่งที่คุณพูดบ้าง ไม่ใช่พูดน้ำไหลไฟดับแต่จบแล้วคนฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี

6.ปรับพลังเสียง

คุณมีหน้าที่ปรับวอลุ่มเสียงดังเสียงค่อยๆ ด้วยตัวเอง บางตอนอาจต้องเพิ่มวอลุ่มเสียงให้ดังเพื่อปลุกคนฟังให้ตื่นหรือตื่นเต้น บางช่วงอาจต้องลดวอลุ่มให้ทิ้งช่วงให้คนฟังได้พักหายใจหายคอบ้าง แต่อย่าโปรเจกต์เสียงตลอดเวลา เพราะช่วงท้ายๆ มีเสียงหายแน่นอน

การฝึกวิธีพูดเหล่านี้จะช่วยให้คุณลำเลียงสิ่งที่อยากสื่อสารอย่างได้ผล ให้เรื่องราวหรือแนวคิดของคุณไปถึงผู้ฟังตามที่ตั้งใจไว้

พูดด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ ให้เกียรติ เปี่ยมรัก

พูดด้วยเจตนาที่ดีและตระหนักรู้ว่าคำพูดของคุณส่งผลอะไรได้บ้าง

เพราะเมื่อพูดออกไปแล้ว คำพูดจะกลายเป็นนายของเรา

Words: Sritala Supapong

ข้อมูลจาก

you might like

Scroll to Top