รีวิว A Quiet Place: Day One หนังปิดปากหนีเอเลี่ยนที่กล้าฉีกทุกภาคที่ผ่านมา

“แม้ไม่ระทึกขวัญเท่า 2 ภาคแรก แต่ก็สัมผัสความเป็นมนุษย์ได้ง่ายและเจ็บปวดกว่า ตอนจบแอบหนักอึ้งแต่ก็วางใจลงได้แบบมือไม้สั่น ศิลปะการแสดงของลูพิต้า ยองโก นั้นเหนือชั้น ควรค่าแก่การอารมณ์ดิ่งเพราะสง่างามเหลือเกิน” นี่คือนิยามแรกที่โพสต์ทางโซเชียลฯ หลังเสียน้ำตาเพื่อสดุดีแด่มนุษย์อ่อนแอผู้ไร้เสียง

มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ A Quiet Place: Day One ดินแดนไร้เสียง: วันที่หนึ่ง ปฐมบทแห่งหนังแฟรนไชส์ปิดปากเงียบหนีเอเลี่ยนภาคนี้ ว่า ‘ควรจะระทึกขวัญและสมเหตุสมผล’ หลายคนพร่ำบ่นว่า ‘ดราม่าแย่งซีนเกินไป’

แต่สำหรับเรากลับหลงรักที่หนังเต็มไปด้วย ‘ความเป็นมนุษย์’ และสัญชาติญาณการเอารอดที่ต่ำกว่าปกติของนางเอกนั้นเข้าใจได้ ถ้าคุณได้ ‘ตาย’ ไปจากข้างในแล้ว ดังนั้นไม่แปลกใจที่จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ 2 แบบ ทั้งทางฝั่ง “สู้กว่านี้สิวะ” และทางฝั่ง “ลมหายใจควรมีไว้ในที่ที่เปล่งเสียงได้อย่างมีความสุข”

Spoiler Alert!
 
เล่นกับหัวใจ

ภาพยนตร์เรื่อง A Quiet Place: Day One พาคุณย้อนกลับไปยังปฐมบท วันแรกที่ ‘Death Angel’ สิ่งมีชีวิตนอกโลกที่เข้าโจมตีทุกชีวิตที่ส่งเสียงดัง ซึ่งเป็นช่วงเวลา 89 วันก่อนไทม์ไลน์ที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ภาคแรก ที่มนุษย์พอจะรู้วิธีเอาตัวรอดจากอุบัติภัยบ้างแล้ว

หนังเลือกใช้ ‘นิวยอร์ก’ มหานครที่ส่งเสียงดังโดยเฉลี่ยเท่ากับคนกรีดร้องต่อเนื่องกัน 90 เดซิเบลเป็นโลเคชันหลักในการเล่าเรื่อง ใครก็คิดภาพไม่ออกเลยหากว่าวันหนึ่งนิวยอร์กถูกปิดปากเงียบจะเป็นอย่างไร

หนังเล่นกับหัวใจคนโดยหยิบยกตัวละครหลักที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอย่าง ‘แซม’ (รับบทโดย ลูพิต้า ยองโก) ที่มาพร้อมกับแมวคู่กาย ‘โฟรโด’ มนุษย์ร่างกายอ่อนแอ 1 คนกับสัตว์อีก 1 ตัวที่คาดเดาพฤติกรรมไม่ได้ เป็นใครก็ฟันธงว่ายายคนแบกแมววิ่งฝ่าดงเอเลี่ยนคงไม่รอดเป็นแน่แท้

แต่เรื่องกลับทำให้เราด่ำดิ่งสู่ดราม่ามากขึ้นจนวางความระทึกขวัญที่คาดหวังลงไป เมื่อแท้จริงแล้วไม่ใช่อุบัติภัยหรอกที่ทำให้เธอเสมือนตายจากข้างใน แต่เป็นเพราะ ‘จิตใจที่แตกสลายต่างหาก’ มีประโยคหนึ่งที่เธอพูดกับ ‘อิริก’ (รับบทโดย โจเซฟ ควินน์) ชายหนุ่มนักกฎหมายที่น้องแมวโฟรโดไปเจอระหว่างทาง ก่อนจะมาเป็นคู่เกลอช่วยเหลือซึ่งกันและกัน “พ่อฉันได้ตายไปแล้ว…เหมือนฉันในตอนนี้เนี่ยแหละ” ยิ่งทำให้ความรู้สึกคนดูล้นปรี่ เจ็บปวดกับสถานการณ์ ‘รอดก็ตาย…ไม่รอดก็ตายของเธอ’

พิซซ่าครั้งสุดท้ายของชีวิต

ดูเหมือน ไมเคิล ซาร์โนสกี ผู้กำกับหนังตามล่าหาหมู Pig’ (2021) ที่มานั่งแท่นกำกับ ภายใต้ความร่วมมือของโปรดิวเซอร์ จอห์น คราซินสกีและไมเคิล เบย์ ตีความปฐมบทปิดปากหนีเอเลี่ยนหนีให้แตกต่างไปจาก 2 ภาคที่ผ่านมาได้สำเร็จ จุดหนึ่งคือแรงขับเคลื่อนภายในจิตใจของแซม
ขณะที่มนุษย์คนอื่นพยายามหนีตายเพื่อเอาตัวรอดเพื่อไปขึ้นเรืออพยพเนื่องจาก Death Angel ไม่สามารถว่ายน้ำได้ แต่แซมกลับอุ้มโฟรโดไปยังสถานที่แห่งความหลัง นั่นคือร้านพิซซ่าร้านโปรด ดูเหมือนจะเป็นการเล่าเรื่องที่ยียวนชนฉงนเสียเต็มประดา ก่อนเรื่องจะเฉลยว่าชีวิตก่อนเผชิญหน้ากับเชื้อมะเร็งช่างสุขนัก ราวกับเสียงเพลงขับกล่อมแผ่วเบา เธอมีคุณพ่อผู้ยึดเหนี่ยวเป็นนักเปียโน และการนั่งฟังเพลงพร้อมกินพิซซ่าร้านโปรดคือความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิต

เหมือนหนังจะฉายภาพให้เห็นว่านอกเหนือจากความกระเสือกกระสนเอาตัวรอดแล้ว บางครั้ง ‘ความกล้า’ ถูกใช้เพื่อเดินเข้าหาความสุขของตัวเอง และบางครั้งดันสวนกระแสหลัก สัญญะภาพมุมสูงขณะฝูงมหาชนในชุดสีดำเทาเดินเร่งเท้าไปอีกฝั่ง ขณะที่แซมในชุดสีเหลืองมัสตาร์ดกลับเดินมุ่งหน้าไปอีกฝั่งอย่างไม่ลดละ

ทีนี้คนดูอึดอัดและเห็นใจกับสถานการณ์ ‘รอดก็ตาย…ไม่รอดก็ตาย’ ของเธอขึ้นแบบคูณ 2 ซึ่งจุดนี้แหละที่ผู้เขียนพยักหน้าเห็นด้วยว่า “ไปกินพิซซ่าเถอะแซม อย่าให้ต้องติดค้างในใจอีกเลย”

ต่อให้เก่งขนาดไหนก็มีช่วงที่อ่อนแอที่สุด

ช่วงที่เราชอบมากช่วงหนึ่งคือตอนที่แซมได้พบกับ ‘อิริก’ (รับบทโดย โจเซฟ ควินน์) นักกฎหมายหนุ่มที่ย้ายจากอังกฤษมาเรียนที่นิวยอร์ก จริงๆ แล้วการปรากฏตัวของอิริกเริ่มต้นด้วยน้องแมวโฟรโดไปเจอ ขณะที่เขากำลังกระเสือกกระสนมุดน้ำในแอ่งเล็กๆ เพื่อหนี Death Angel โดยอยู่ในสภาพที่ตกใจสุดขีด พูดจาซ้ำไปซ้ำมา

อิริกเดินตามโฟรโดไปจนพบแซม แม้แซมพยายามจะบอกให้เขามุ่งหน้าไปยังเรืออพยพ แต่อิริกก็อยู่ในสภาพกลัวเกินกว่าจะไปคนเดียว เข้าอิหรอบหนึ่งคนหัวหายสองคนเพื่อนตาย อิริกจึงได้ร่วมเดินทางไปกับแซมด้วย ไปยังร้านพิซซ่า

ตัวละครที่ (ร่างกาย) อ่อนแอที่สุดกลับสามารถเป็นที่พึ่งของหนุ่มอนาคตไกลที่กำลังอยู่ในช่วงสติแตก ทั้ง 2 ช่วยเหลือกันเพื่อเอาตัวรอดจากเอเลี่ยนในสถานการณ์ต่างๆ จนให้ที่สุดตัวละครอิริกมีพัฒนาการ เขากล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้มากขึ้น ซ้ำยังช่วยหายาให้แซมและพาแซมไปยังที่ที่ควรไป

เมื่อความสุขสุดท้ายโดนพรากจาก

ความเจ็บปวดในใจคนดูเพิ่มขึ้นคูณ 3 เมื่อพบว่าสิ่งที่แซมตามหามาตลอด แท้จริงแล้วเป็นเพียงซากปรักหักพังของร้านพิซซ่าที่ถูกทำลาย แซมนั่งคุกเข่านั่งร้องไห้แบบเจ็บปวด ซึ่งเป็นการนั่งร้องไห้ไม่ให้มีเสียงแม้ว่าจะเสียใจที่สุดก็ตาม

และอิริกตอบแทนมิตรภาพของเธอด้วยการเดินไปร้านพิซซ่าที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อนำพิซซ่าร้านนั้นมาเขียนหน้ากล่องด้วยหมึกเป็นชื่อร้านพิซซ่าร้านโปรดของแซมแทน อิริกยังชวนเธอไปยังบาร์ที่พ่อเธอเคยแสดงเปียโน ก่อนที่ชวนทำการแสดงที่เงียบเชียบที่สุด จากนั้นแซมจึงได้เอาไอพอดเสียบชาร์จกับลำโพงเมมโมรีที่บรรจุเพลง (เดาว่าน่าจะเป็นเพลงบรรเลงของพ่อของเธอ)

ในที่สุดคนดูก็พอจะใจชื้นได้บ้างว่าหากแซมโฟกัสในความสุขที่เหลืออยู่ เธอจะพบกับมิตรภาพของอิริกและแมวโฟรโดตัวอ้วนของเธอ

ภาคที่เป็นมนุษย์ที่สุด

ตอนจบเจ็บปวดและยิ่งใหญ่มากสำหรับเรา A Quiet Place: Day One ดินแดนไร้เสียง: วันที่หนึ่ง แสดงให้เห็นการตัดสินใจของผู้หญิงร่างกายอ่อนแอคนหนึ่ง ที่พยายามส่งต่อลมหายใจสุดท้ายให้กับสิ่งที่มีค่าที่สุดที่เธอเหลืออยู่ เหตุด้วยทั้งคู่มาไม่ทันเรืออพยพ และแซมเองจึงตัดสินใจใช้เหล็กตีเข้ากับรถเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของ Death Angel โดยเธอฝากแมวโฟรโดไว้กับอิริก ก่อนปล่อยให้อิริกกระโดดลงน้ำพร้อมแมวเพื่อว่ายน้ำขึ้นเรืออพยพไป

ฉากตราตรึงอีกหนึ่งฉากคือการที่เธอคลุมไหล่อิริกด้วยเสื้อสีเหลืองมัสตาร์ดที่เธอสวมทั้งเรื่อง ราวกับส่งต่อความกล้าหาญให้กับเขา ซึ่งหลังจากอิริกนั่งอยู่บนเรือแล้วก็ค้นพบกระดาษโน้ตในกระเป๋าที่เธอเขียนกึ่งฝากฝังแกมอารมณ์ขัน บอกให้อิริกเลี้ยงแมวของเธอให้ดี

ฉากสุดท้ายทรงพลังที่สุดภายใต้โลกที่เงียบงัน พบว่าเธอฟังเพลงในไอพอดผ่านหูฟังอย่างเริงร่าโดยสีหน้าเปี่ยมสุข เธอขอบคุณฟ้าขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เธอได้ยิน ‘เสียงแห่งนิวยอร์ก’ อีกครั้ง ก่อนจะดึงหูฟังออก แล้ว Death Angel ก็กระโดดลงมาข้างหลังทันทีก็พอดีกับที่หนังตัดจบ ราวกับต้องการสื่อว่า ‘ลมหายใจควรมีไว้ในที่ที่เปล่งเสียงได้อย่างมีความสุข’

ดราม่านำ ระทึกขวัญตาม

เห็นได้ชัดว่าดินแดนไร้เสียงไร้เสียงภาคนี้บีบหัวใจผู้ชมอย่างมาก แต่เป็นผลลัพธ์จากดราม่าเป็นหลัก ส่วนความระทึกขวัญเป็นรอง และแม้จะเป็นปฐมบทแรกเริ่มอุบัติภัยแต่ก็หาได้ปูเรื่องราวหรือเฉลยว่าแท้จริงแล้วจุดกำเนิดของ Death Angel มีที่มาอย่างไร ทิ้งให้แฟนๆ ได้แต่หวังว่าจะมีปฐมบทของปฐมบทอีกครั้ง หรือภาคการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตประหลาดในห้องทดลองนอกโลกหรืออะไรก็ตามแต่ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าแฟนๆ กลุ่มหนึ่งอาจผิดหวัง แต่แฟนๆ กลุ่มอีกกลุ่มผู้เข้าใจสัจธรรมของโลก สามารถสัมผัสได้ถึงการปลงตกของนางเอก ซึ่งเป็นภาคที่ฉีกออกมาจาก 2 ภาคแรกได้อย่างเซอร์ไพรส์

ชนิทเซลและนิโคล ดาราท่านหนึ่ง

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าน้องแมวโฟรโดคือดารานำท่านหนึ่ง ด้วยความเฉลียวฉลาดและความน่ารักน่าชังจนทำให้ตัวละครแมวตัวนี้ที่รับบทโดยแมว 2 ตัว ทั้งชนิทเซลและนิโค ต่างก็เรียกกระแสให้ภาพยนตร์เป็นอย่างมาก ฉากดำน้ำน้องก็เปียกขนฟูจริง ฉากวิ่ง ฉากอุ้ม น้องก็แสดงเองจริงๆ เรียกได้ว่าเอาออสการ์สาขานักแสดงนำสัตว์ไปด้วยเลยก็ว่าได้

มีคอมเมนต์จำนวนมากในเชิง ‘คนตายได้แต่แมวห้ามตาย’ และตัวภาพยนตร์เองก็ใช้แมวมาตกหัวใจแฟนๆ ในหนังโปรโมตว่า “อยากรู้ว่าแมวรอดไหม ให้มาดู” แม้สุดท้ายแล้วเหมือนหนังแอบหยิกคนดูเบาๆ แมวไม่ตายจ้า แต่นางเอกน่าจะไม่รอด จนเราต้องไปแก้ไขคอมเมนต์ คนตายได้แต่แมวห้ามตาย เปลี่ยนเป็นแมวห้ามตายและนางเอกด้วยนะ (สงสาร)

เงียบจนไม่กล้าเคี้ยวป๊อปคอร์น

โดยรวมให้ 8 เต็ม 10 อยากให้ผู้อ่านได้ไปดู เราให้คะแนนเนื้อเรื่องที่กล้าฉีกออกไป ให้คะแนนการแสดงของลูพิต้าที่เลิศเลอเหมือนเคย (เธอเป็นนักแสดงโปรดของผู้เขียน) ให้คะแนนชนิทเซลและนิโคที่น่ารักและฉลาดมากๆ ให้คะแนนความหนักหน่วงแต่เท่ของตอนจบที่ทำให้ร้องไห้เฉย แต่แอบหักคะแนนไป 1 แต้ม เรื่องสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ที่น้อยไปจนขาดความสมจริง และหักอีก 1 คะแนนที่เป็นปฐมบทที่ไม่เฉลยอะไร แต่ถ้าจะมีภาคเฉลยอีกจะยินดีบวกกลับมา 1 จ้า ส่วนคำถามคาใจที่ว่าแบกแมววิ่งตั้งนาน แมวไม่ร้องสักแอะ อันนี้ไม่หัก เพราะดีแล้วแมวไม่ตาย

สรุปคือจะไปดูอีกรอบเพราะกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่หลงรักเล็กๆ ในรอบปี รักไปหมดทั้งลูพิต้าและแมว 2 ตัว และความกล้าตีความของผู้กำกับ จะใส่เสื้อสีมัสตาร์ดที่แสดงถึงความกล้าที่จะมีความสุขไปด้วยละ

 

Words: Varichviralya Srisai

Photo: Courtesy of Paramount Pictures

you might like

Scroll to Top