หนึ่งในความหายนะที่สุดในศตวรรษที่ 20 เป็นเรื่องของนกกระจอก ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ไม่ใกล้เคียงกับคำว่ากระจอกเลยสักนิด
เหมาเจ๋อตง ผู้นั่งตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Chinese Communist Party – CCP) คิดค้นนโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ (The Great Leap Forward) ด้วยใจหวังจะพลิกจีนจากประเทศเศรษฐกิจกสิกรรมไปเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ หนึ่งในแผนดำเนินงานของประธานเหมาคือ การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและนำอุตสาหกรรมเข้าสู่ชนบทอันทุรกันดารผ่านกฎเกณฑ์ใหม่มากมาย อาทิ กำหนดให้การทำไร่ไถนาส่วนตัวเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ไปจนถึงทำแคมเปญรณรงค์กำจัดสัตว์รบกวน 4 ชนิด ได้แก่ หนู แมลงวัน ยุง และนกกระจอก ในโทษฐานว่ามาชุบมือเปิบผลผลิตทางการเกษตรของมนุษย์ประชาชนจีนผู้ที่จู่ๆก็มีหน้าที่งอกขึ้นมาคือการกำจัดนกกระจอกและสัตว์รบกวนต่างๆ เพราะท่านประธานเหมาทำให้ทุกคน ‘เชื่อ’ ว่านกกระจอกนี่ละที่ยกพวกมาจิกกินธัญญาหารในโกดังและนาข้าว โดยแจกแจงตัวเลขเสียด้วยว่า นกกระจอกหนึ่งตัวทำให้ธัญพืชสูญหายไปปีละ 4 ปอนด์
‘การรณรงค์บดขยี้นกกระจอก’ กลายเป็นชื่ออย่างไม่เป็นทางการของปฏิบัติการนี้ นำโดยลูกเด็กเล็กแดง พ่อแก่แม่เฒ่า ชาวไร่ชาวนาไปจนถึงข้าราชการพร้อมด้วยอาวุธในมือ อาทิ หม้อ กระทะ ตะหลิว ออกไล่ล่าเจ้านกกระจอกคาดการณ์ว่าในเดือนพฤษภาคมปีค.ศ. 1958 มีนกกระจอกประมาณ 4,310,000 ตัวถูกฆ่าทิ้งทั่วประเทศจีน ผู้ทำผลงานดีเด่นจนแทบจะกลายเป็นวีรบุรุษกู้ชาติเป็นเด็กหนุ่มวัย 16 ปีนามว่าหยางซื่อเหมิน ซึ่งฆ่านกกระจอกด้วยมือเปล่าไปทั้งสิ้น 20,000 ตัวเมื่อกำจัดสัตว์ที่ขโมยกินพืชพรรณธัญญาหารไปจนเหี้ยนแล้ว ผลผลิตทางการเกษตรของจีนก็สมควรจะเพิ่มพูนขึ้นแบบพุ่งทะยาน หากการณ์กลับเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะนกกระจอกและสัตว์รบกวนทั้งหลายที่ถูกกำจัดทิ้งก็มีหน้าที่กำจัดตั๊กแตนและแมลงต่างๆที่กลายเป็นว่าเพิ่มจำนวนขึ้นมหาศาลและรวดเร็วยิ่ง ผลก็คือเรือกสวนไร่นาถูกแมลงกัดกินอย่างย่อยยับ
เมื่อถึงเดือนเมษายนปี 1960 ท่านประธานเหมาจึงประกาศยุติการรณรงค์บดขยี้นกกระจอก แต่ยังไม่วายให้ประชาชนหันไปกำจัดตัวเรือดแทน จนในปี 1962 ระบบนิเวศที่ไม่มีนกกระจอกก็ยังไม่ฟื้นคืนสภาพ ซ้ำยังเป็นสาเหตุหนึ่งของทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ของจีน ที่ทำให้ประชาชน 36 ล้านคนต้องอดอยากหิวโหยจนตายไปและนี่คือทุพภิกขภัยและหายนะจากน้ำมือมนุษย์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเลยทีเดียว
ความพังของหายนะครั้งนี้มาจากอะไร?
ก็จากความเชื่อโดยปราศจากหลักฐานและข้อพิสูจน์ว่า เจ้าสัตว์ทั้งสี่ประเภทนี้คือตัวการปัญหาที่แท้จริงหรือไม่ การไม่เชื่อมโยงข้อมูลว่าระบบนิเวศมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ห่วงโซ่อาหาร’ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายล้วนต้องพึ่งพากันและกันการละเลยหาหลักฐานว่า นกกระจอกบริโภคธัญพืชปีละสี่ปอนด์จริงหรือเปล่า และที่แย่ที่สุดก็คือ เรื่องปั้นน้ำเป็นตัวนี้ รัฐเป็นผู้เผยแพร่ ผสมโรงกับความขลาดของข้าราชการที่ไม่มีใครกล้ารายงานหายนะทางเศรษฐกิจที่เกิดจากนโยบายก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของเหมาแต่อย่างใด แต่มีรายงานที่บันทึกไว้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐกล่าวโทษสภาพอากาศอันเลวร้ายว่าคือตัวการที่ทำให้ผลผลิตอาหารลดลง นั่นหมายความว่าไม่มีใครจัดการอะไรเลยจนกระทั่งผู้คน 36 ล้านต้องอดอยากจนตาย
ท้ายที่สุด จีนสั่งนำเข้านกกระจอก 250,000 ตัวมาจากสหภาพโซเวียต และปล่อยให้มันเพิ่มจำนวนขึ้นตามธรรมชาติ ปล่อยให้มันจิกแมลงกินพืชไปตามครรลอง ผลผลิตตามไร่นากลับมางอกงาม แล้วผู้คนก็ไม่อดอยากเพราะว่าไม่มีนกกระจอกอีกต่อไป ตลอดประวัติศาสตร์ ความเชื่อของผู้นำซึ่งตัดสินใจแทนประชาชนสร้างผลกระทบใหญ่หลวงได้สารพัดรูปแบบ ตั้งแต่สงคราม สันติภาพ การกดขี่ การปลดปล่อย คำประกาศว่าโลกแบน ไปจนถึงการส่งมนุษย์ไปเยือนดวงจันทร์ ขึ้นอยู่กับว่าผู้นำโอบรับความเชื่อเช่นไรเอาไว้ หากความเชื่อนั้นผูกโยงกับเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับเรื่องโกหก เมื่อเรื่องปั้นเป็นตัวคือความเชื่อโดยละเลยข้อเท็จจริง
จากพลเมือง พนักงาน ลูกจ้าง สมาชิกครอบครัว ไปจนถึงบุคคลในสถานะใดก็ตามที่ต้องอยู่ภายใต้การตัดสินใจของคนอื่น จึงมีหน้าที่สำคัญที่ต้องรู้ให้ได้ว่า ผู้นำการตัดสินใจของตนเชื่ออะไร เพราะเหตุใดและอย่างไร เพราะทุกคนจะซวยกันยกใหญ่หากผู้นำปิดๆบังๆ ไม่ให้เราได้รับรู้ว่าพวกเขาเชื่ออะไร อย่างไร และทำไม
https://qz.com/572269/most-of-the-information-we-spread-online-is-quantifiably-bullshit/