‘ดอกเตอร์ไคลแมกซ์’ ความดีงามที่อาจล่มสลายเมื่อคนเปิดเรื่องเพศ

ดอกเตอร์ไคลแมกซ์: ปุจฉาพาเสียว เชื้อเชิญคนดูด้วยชื่อหนังชวนเอี่ยวให้คิดว่าเป็นแนวตลกโปกฮาและงานภาพสุดละเมียดที่พาไปชมบ้านเมืองไทยในยุคพ.ศ. 2500 กว่าๆ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่หนังสือพิมพ์ไทยมีคอลัมน์หมอตอบจดหมายเรื่องเพศ…อันเป็นเรื่องผิดประเพณีอันดีงามของสังคมไทย แฝงด้วยภาพการดิ้นรนของคนทำสื่อที่ตกทุกข์ได้ยากอยู่ร่ำไป

ในความบันเทิงของซีรีส์ที่เหมือนได้ดูหนัง 8 เรื่อง อาทิ เรื่องการช่วยตัวเอง หลั่งน้ำกาม ความใคร่ในวัตถุ ชู้ สมรรถภาพทางเพศ…หย่อน ไปจนถึงการทำแท้ง คนดูอาจหัวเราะไม่ออกเมื่อแจ้มแจ้งใจว่า ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีกี่ชาติ ภาพการกดทับและการดิ้นรนกันเองในทุกๆ ด้านของผู้คนในสังคมไทย แม้แต่เรื่องสุขภาพทางเพศของตนเอง…ยังเรโทรเหมือนเคย

ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ เป็นเรื่องของหมอณัฐวุฒิ แพทย์ด้านโรคผิวหนังและกามโรค บุตรชายของหม่อมหลวงอะไรสักอย่าง เขาหน้าตาดี มีคุณหญิงแม่เกล้าผมตีกระบังโป่ง มีภรรยาผิวพรรณหมดจดชื่อตุ๊กตาที่งามอย่างกับแม่ของเขาอีกคน มีบ้านใหญ่โตที่มีเด็กชดคนรับใช้ เช้ามืดหมอไปเปิดคลินิก ตกค่ำมากินข้าวฝีมือภรรยาและหลับนอนกับเธออย่างจืดชืดเหมือนกับชีวิตทุกช่วงเวลาของหมอ

ความตื่นเต้นเดียวในชีวิตของหมอ…ที่คนอื่นมอง ไม่ใช่ในมุมมองของหมอก็คือการตรวจภายในคนไข้มากหน้าหลายตา ทว่าในทางการแพทย์แล้ว หมอณัฐเห็นมันเป็นเพียงเนื้อเยื่อหุ้มอวัยวะที่อาจเป็นเชื้อรา อักเสบ ฉีดขาด หรือตกขาวบ้างก็เท่านั้น หมอณัฐจึงพยายามแสวงหาความตื่นเต้นให้ชีวิตตนเองผ่านการเขียนนิยายแนวผจญภัยสุดระทึก ราวกับระพี ไพรวัลย์ ตัวเอกในนิยายของพนมเทียนบุกเข้ารกเข้าพงพร้อมหญิงสาวหุ่นสะบึมไปต่อสู้กับอสูรกายหอยทากที่มีอาวุธเป็นน้ำเมือกเหนียว

แน่นอนว่าชีวิตที่ไม่เคยได้ตื่นเต้นผจญภัยอะไรเลยของหมอ จึงเขียนนิยายผจญภัยได้ตื่นเต้นชวนหลับตั้งแต่บรรทัดแรก

ทว่าในโมงยามวิกฤตของหนังสือพิมพ์บางกอกทันข่าวที่ยอดขายไม่ทันกิน จึงอยู่ในภาวะร่อแร่จะโดนปิดแหล่ไม่ปิดแหล่อยู่ตลอดเวลาเพราะยอดขายสู้หนังสือพิมพ์คู่แข่งที่เอารูปดาวโป๊มาปูไปครึ่งหน้าหนึ่งไม่ได้ กองบรรณาธิการจึงระดมสมองที่มีน้อยนิดยิ่งนักเพื่อหาทางออกให้กับปากท้องของตนเองเป็นอันดับแรก คนอ่านจะได้อะไรนั้นเป็นเรื่องรอง…และสื่อเป็นเช่นนี้ทุกยุคสมัย

และเช่นเดียวกับทุกยุคสมัยที่ ‘ความสนใจ’ หรือเอนเกจเมนต์ของผู้คนคือสกุลเงินที่มีค่าสูงสุด กองบก.คนหนึ่งเคยอ่านจดหมายของเด็กสาวที่เขียนมาปรึกษาเรื่องเพศกับหมอณัฐ จึงขายไอเดียให้เปิด “คอลัมน์ปรึกษาทางเพศ” โดยให้หมอณัฐพับฝันจะเป็นนักเขียนนิยายไปก่อน แล้วมาเป็นคอลัมนิสต์ตอบปุจฉาพาเสียวให้กับผู้อ่าน

ไม่ช้านาน ยอดขายของหนังสือพิมพ์บางกอกทันข่าวก็พอจะไล่ตามคู่แข่งได้บ้าง เมื่อคอลัมน์ปุจฉาพาเสียวโดยดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ได้รับความนิยมล้นหลาม เด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่อ่านดี แม้แต่คนหัวโบราณที่แอบอ่านยังชอบใจ ทำให้หมอณัฐต้องนั่งคัดเลือกจดหมายจากบ้านกันไม่หวาดไม่ไหว

ดอกเตอร์ไคลแมกซ์อาจเป็นซูเปอร์ฮีโร่แบบไทยๆ ได้เมื่อหมอณัฐใช้พลังทางความรู้ทางการแพทย์ของตนไปช่วยชีวิตผู้คนมากมาย ตั้งแต่เด็กหญิงวัยนมแตกพานที่หัดช่วยตัวเอง นักเรียนหนุ่มที่อยากตัดปล้องออกเพราะโดนเพื่อนล้อว่าลำใหญ่เหมือนกระบอกไฟฉาย ไปจนถึงคนที่ชอบสำเร็จความใคร่กับต้นกล้วย…และอีกสารพัดปัญหาที่มีวิธีการแก้ไขแบบเห็นภาพเป็นฉากๆ จนคอมเมนต์ทางโซเชียลของเน็ตฟลิกซ์มีคนดูหลายคนที่แจ้งผลการทดลองว่า นำไปทำตามและใช้ได้ผลจริง…แต่หมอไม่ยักจะแก้ปัญหาเซ็กซ์จืดชืดของตัวเองกับตุ๊กตา ภรรยาผู้เพียบพร้อมของหมอได้เลยแฮะ

คงเดช จาตุรนต์รัศมี หนึ่งในผู้กำกับหมกมุ่นกับเรื่องเพศมาช้านานแล้ว ในแง่ที่ว่าทำไมสังคมไทยเรานี้จึงกดทับ กักเก็บ อัดอั้นเรื่องเพศนักหนา

Photo: X @Netflixth

ดอกเตอร์ไคลแมกซ์ชวนให้นึกถึงหนังยุคแรกๆของคงเดชเรื่อง สยิว ที่ออกฉายในปี 2546 (ค.ศ.2003) ว่าด้วยเรื่องของ เต่า นักศึกษาสาวที่หาเลี้ยงชีพตนเองด้วยการเขียนเรื่องเสียวลงนิตยสารปลุกใจเสือป่า ซึ่งเธอก็รุ่งโรจน์ในอาชีพเสียด้วย เว้นแต่ว่าในชีวิตจริงของเต่านั้นไม่มีประสบการณ์ความเสียวใดๆ เลย (เช่นเดียวกับหมอณัฐ) แต่เต่าก็เคารพอาชีพนักเขียนมากพอที่จะพาตัวเองไปหาเรื่องสวาทหวาดเสียวมาเขียน

วันๆ เต่าจึงหมกมุ่นกับเรื่องเสียวมากเสียจนมิไยดีต่อสภาพเหตุการณ์บ้านเมือง ฉากหลังชีวิตที่ดิ้นรนในโลกแคบๆ ของเต่าคือภาพของกลุ่มทหารที่ออกมาประกาศขอความสงบ และเพื่อนพ้องนิสิตนักศึกษาของเต่าเข้าร่วมเหตุการณ์พฤษภาทมิฬปี 2535

เต่าไม่ได้ไป ไม่เคยไป และแทบไม่ได้สนใจ ‘โลก’ ทางการเมืองที่แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อโลกของเธอในทุกๆ ทาง ทว่า ปากท้องสำคัญยิ่งกว่า หรือเต่าอาจะเป็นอิกนอแรนต์รุ่นแรกของสังคมไทย เต่าจึงได้แต่อยู่ในกระดองซึ่งเป็นหอพักเล็กๆ และมองหาเรื่องสวาทหวาดเสียวมาเขียนหาเลี้ยงปากท้องของตัวเอง…ก็เท่านั้น

เมื่อคอลัมน์ปุจฉาพาเสียวโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึงหูผู้มีอำนาจฝ่ายอนุรักษ์ในสังคมไทย ซึ่งร้อนอาสน์มากเสียจนต้องลุกมาดิ้นพล่านควานหาตัวดอกเตอร์ไคลแมกซ์ ฝ่ายขวาพยายามปิดปากสื่อ ทำลายกระบอกเสียงของสังคม ตัดหางสื่อที่ทำหน้าที่หมาเฝ้าบ้านของสังคม

พวกเขาทำตัวทุเรศถึงขนาดนี้ก็เพราะกลัว

กลัวว่าความเชื่อที่ตนรับเข้ามาเป็นอัตลักษณ์ของตนเองจะสูญสลายไป

กลัวว่าชีวิตและสภาพแวดล้อมที่ตนเห็นว่า ‘เหมือนจะดี’ อยู่แล้วจะโดนกร่อนเซาะบ่อนทำลาย

กลัวว่าถ้าปล่อยให้คนคนหนึ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงขึ้นมาได้ คนอื่นจะทำตามๆ กัน จนสภาพที่ ‘เหมือนจะดี’ อยู่เดิมนั้นจะเดือดร้อนวุ่นวายกันไปหมด

“พวกเขาก็แค่กลัวการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นแหละ” ลินดา อาร์ตไดของหนังสือพิมพ์บางกอกทันข่าวได้กล่าวไว้ (และก้อย อรัชพร โภคินภากร ได้มอบการแสดงที่น่าติดตามและชวนมองหาในทุกฉากที่เธอปรากฏและไม่ได้ปรากฏตัว)

ฉากหนึ่งที่เป็นครูสอนเรื่องเพศศึกษาให้เด็กนักเรียนด้วยวิธี ‘อ่าน’ ตำราเรียนให้ฟัง ภาพนี้เคยเกิดขึ้นสมัยเรียนม.ต้นที่ครูผู้หญิงพยายามสุดความสามารถที่จะไม่ให้ตัวเองหน้าแดงเมื่อต้องอธิบายเรื่องนกเขาขันกับประจำเดือนให้นักเรียน 54 คนในชั้นเรียนที่มีนักเรียนชาย หญิง และเพศอื่นๆ ‘ทำเป็น’ นั่งฟังด้วยกิริยาดี บรรยากาศในห้องเคอะเขินเงอะงะเสียจนทุกคนภาวนาให้เสียงออดหมดคาบดังขึ้นมาเพราะเกรงว่าครูจะกลั้นใจตายไปเสียก่อน

และเมื่อถึงปลายทางชีวิตม.ต้น เพื่อนของพวกเราหลายคนตัดสินใจไม่เรียนต่อ บางคนเพราะบ้านไม่มีเงิน บ้างก็กลายเป็นแม่คนในวัย 15

เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับคนในครอบครัว เพื่อนของผู้เขียนที่ย้ายไปทำงานที่อเมริกาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยมักจะโทรทางไกลมาฝากฝังน้องสาวคนเล็กที่บัดนี้อายุได้ 16 ปี

“ดูไอ้แจนมันดีๆ นะ มันยิ่งแรดๆ อยู่ นี่กลัวว่ามันจะท้องตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ” เพื่อนพล่ามมาจากนิวยอร์ก

“ไอ้แจนน่ะเหรอ…มันคลอดออกมาแล้วมรึง”

ปลายสายเงียบไปเป็นนาน ก่อนจะพูดออกมาว่า “แจนให้ลูกเรียกมันว่าแม่ หรือให้เรียกยายว่าแม่”

เพราะว่าแม่ของนางเองนั้นอายุห่างจากตัวเองแค่ 14 ปี นี่ไม่นับว่าเพื่อนผู้เขียนเป็นลูกคนที่สอง นั่นแปลว่าแม่คลอดพี่ชายของนางตอนอายุแค่ 13 เท่านั้น และตลอดชีวิตนับแต่จำความได้ มันเห็นแม่พยายามประคับประคองครอบครัวมาอย่างยากลำบากแสนสาหัส

ความไม่รู้เรื่องเพศอาจทำลายชีวิตของหลายคน ทำลายทั้งครอบครัวของหลายๆ ชีวิต ขณะเดียวกันในภาพใหญ่ทางสังคม เราก็อยู่ๆ กันไปกับเรื่องที่ทุกคนรู้ โลกรู้ แต่รัฐไทยทำเป็นไม่รู้ และปล่อยให้ชาวไทยแก้ปัญหากันเองแบบตามมีตามเกิดเรื่อยมา เรารับรู้อยู่เนืองๆ ว่าตามเพจของหมอสูติฯ ต่างๆ จะมีผู้คนที่เดือดร้อนส่งรูปน้องสาวน้องชายตัวเองไปให้วินิจฉัยอย่างล้นหลาม จนหมอคร้านจะชำแหละโรคให้ เพราะเราอายที่จะพาตัวเองออกไปพบหมอสูติฯ ซึ่งอาจสุ่มเสี่ยงว่าจะมีคนเห็นหรือไปอยู่ในประวัติการรักษาได้
และเราก็ต้องมานั่งเรียนเรื่องเพศศึกษากันตามซีรีส์เน็ตฟลิกซ์แบบนี้แหละ

นอกเหนือไปจากประเด็นเรื่องเพศที่ซีรีส์ทำได้ดีมากๆ จนน่าจะทำออกมาอีกหลายซีซัน เล่าการผจญภัยในฐานะคอลัมนิสต์ของหมอณัฐเสียเลย นี่คือการแสดงที่ดีที่สุดของเต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี และที่สำคัญ คงเดช จาตุรนต์รัศมีไม่เคยทำให้ผู้ติดตามผลงานของเขาต้องผิดหวัง และแพลตฟอร์ม OTT ก็ทำให้คงเดชได้ปลดปล่อยเรื่องเล่าในตัวออกมาได้บ่อยกว่าสมัยก่อนที่ 5 ปีจะได้ดูหนังของเขาสักเรื่อง

Photo: X @Netflixth

Words: Sritala Supapong

Photos: Netflix Thailand

you might like

Scroll to Top