ช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา คนไทยตื่นตัวด้านการลงทุนมากขึ้น สังเกตได้จากจำนวนบัญชีลงทุนหลักทรัพย์รายบุคคลที่เพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2563 ที่ผ่านมา เกือบ 6 แสนบัญชี จากปกติการเปิดบัญชีใหม่จะอยู่ที่ปีละ 2 – 3 แสนบัญชี ปัจจุบันมีบัญชีลงทุนรายบุคคลราว 1.8 ล้านบัญชี
จะเห็นได้ว่าในวิกฤตแต่ละครั้ง คนจะหันมาให้ความสำคัญด้านการลงทุนมากขึ้น เช่นเดียวกับ ‘ยศกร นิรันดร์วิชย’ CFA กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่หันมาให้ความสนใจด้านการลงทุนช่วงที่เกิดวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2550 – 2551 ซึ่งขณะนั้นเขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย จากเงินลงทุนเริ่มต้น 50,000 บาท จนสามารถได้ผลตอบแทนหลักล้านบาท
“วิกฤตซับไพรม์ หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ทำให้เห็นความสำคัญของสถาบันการเงินที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบสถาบันการเงิน ทำให้เศรษฐกิจล่มได้ ทำให้หันมาศึกษาด้านการลงทุนอย่างจริงจัง” ยศกรกล่าว
ยศกร มีจุดเริ่มต้นจากครอบครัวนักธุรกิจและวิถีสตาร์ทอัพ คุณพ่อและคุณแม่เป็นนักธุรกิจด้าน Interior ส่วนพี่ชายจบจาก Business School ชื่อดังของสหรัฐฯ และก็ยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Startup เกี่ยวกับการแพทย์อีกด้วย
วิกฤติเศรษฐกิจ 2551 ทำให้สนใจด้านการเงินจริงจัง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สนใจเรื่องการลงทุนเป็นอย่างมากและตัดสินใจเริ่มสอบ CFA จนครบทั้ง 3 ระดับและในที่สุดก็ได้เป็น CFA Charterholder
งานแรกหลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขา MBA ที่ INSEAD (Institut Européen d’Administration des Affaires-หนึ่งในสถาบันการศึกษาด้าน business ชั้นนำของโลก) จากประเทศฝรั่งเศส ได้เข้าร่วมงานกับ SCG ในตำแหน่ง Marketing Executive ซึ่งเป็นทีมพัฒนาตลาดใหม่ ๆ ในต่างประเทศ ทำให้เบนเข็มจากการเป็น Banker ใน Wall Street หันมาสนใจทำงานด้าน Management Consultant ภูมิภาคนี้อย่างจริงจัง เพราะอยากเป็นส่วนช่วยพัฒนาธุรกิจในภูมิภาคของเราให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
หันมามองที่ประเทศไทย ยศกร ได้ทำการศึกษาและพบว่า คนไทยมีการลงทุนน้อยมาก และสัดส่วนการถือครองเงินสดอยู่ที่ 40 – 50% นั่นหมายถึงมูลค่าของเงินจะค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ ในอนาคต ซึ่งหมายถึงเงินจะมีไม่พอใช้จ่ายในวัยเกษียณ ขณะที่การลงทุนยังกระจุกตัวอยู่ในประเทศค่อนข้างมาก ทำให้ไม่สามารถกระจายความเสี่ยง ทำให้การลงทุนไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้น ด้วยความที่สนใจด้านการลงทุนอยู่แล้ว เมื่อได้รับการติดต่อจาก StashAway แพลตฟอร์มด้านการลงทุน ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2559 ที่ประเทศสิงคโปร์ และเติบโตอย่างรวดเร็วจนมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการมากกว่า 3 หมื่นล้านบาทภายในระยะเวลาน้อยกว่า 4 ปี จึงตัดสินใจเข้าร่วมงานและก่อตั้งบริษัท สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด แพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่ช่วยให้การลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกเป็นเรื่องง่าย และช่วยให้นักลงทุนไทยก้าวข้ามขีดจำกัดด้านการลงทุน มุ่งสู่เป้าหมายทางการเงินได้อย่างยั่งยืน
StashAway เปิดกว้างด้านการลงทุน
StashAway เปิดให้บริการแล้วในสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ไทย และ Dubai International Financial Centre ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมทั้งผ่านการระดมทุนมาแล้ว 6 รอบ (Series D) โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุน Venture Capital ระดับโลกอย่าง Sequoia Capital India, Eight Roads Ventures และ Square Peg โดยในปี 2563 StashAway ได้รับการยอมรับจาก World Economic Forum ในฐานะ Technology Pioneer ที่มีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อการพัฒนาธุรกิจและสังคมของโลก
ยศกร กล่าวว่า ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศของคนไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ทางเลือกในการลงทุนต่างประเทศยังมีจำกัด มีความซับซ้อน และมีค่าธรรมเนียมสูง ซึ่งทำให้การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนของคนไทยยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า ประเทศไทยยังมีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ที่กระจุกตัวอยู่ในประเทศค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง
“StashAway จึงอยากเข้ามาช่วยให้นักลงทุนไทยก้าวข้ามขีดจำกัดต่าง ๆ เหล่านี้ โดยการมอบเทคโนโลยีที่ช่วยให้การลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกเป็นเรื่องง่ายเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจที่เติบโตสูง มีการบริหารพอร์ตการลงทุนที่มีประสิทธิภาพตามการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรฐกิจ และสามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างแท้จริง” ยศกรกล่าว
StashAway เพิ่มทางเลือกในการลงทุน โดยนำเสนอพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลกตามระดับความเสี่ยงโดยมีให้เลือกถึง 12 ระดับ ลูกค้าสามารถสร้างพอร์ตได้หลายพอร์ตเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นพอร์ตแบบ General Investing เพื่อลงทุนให้เงินงอกเงยในระยะยาวหรือพอร์ตแบบ Goal-based Investing เพื่อลงทุนตามเป้าหมายทางการเงินเฉพาะซึ่งมีให้เลือกถึง 8 เป้าหมายและยังสามารถปรับระดับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนได้ตลอดเวลา ลูกค้าสามารถเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชันเพื่อเริ่มลงทุนกับ StashAway ได้ง่าย ๆ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันผ่านทาง App Store และ Play Store
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภท ค (การจัดการกองทุนส่วนบุคคล) เลขที่ ลค-0136-01 จากกระทรวงการคลังและดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) www.stashaway.co.th
“เราเป็นองค์กรที่มี Growth Mindset เน้นการดำเนินงานที่โปร่งใส และจริงใจ มุ่งสู่เป้าหมายทางการเงินของลูกค้าเป็นสำคัญ ทุกคนในทีมมีเป้าหมายเดียวกัน มุ่งสร้างการเติบโตไปพร้อมกับลูกค้าของเรา โดยหวังว่าภายใน 2 ปี StashAway จะเติบโตแบบกระโดด ขึ้นเป็นผู้เล่นเบอร์ 1 หรือ 2 ในตลาดประเทศไทย” ยศกรกล่าวทิ้งท้าย
#ยศกรนิรันดร์วิชย #StashAway