ทางรอด SMEs ต้องปรับตัว หันมาจับตลาดออนไลน์

ในวิกฤตมีโอกาส การระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้ก็เช่นกัน มี SMEs จำนวนไม่น้อยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการที่ปรับตัวได้เร็ว ก็สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ไม่ยาก แต่โลกการค้าปัจจุบันก็ไม่ง่าย “ชนนันท์ ปัญจทรัพย์” ผู้จัดการทั่วไปของ SHOPLINE ประเทศไทย จึงอาสาติดอาวุธให้ SMEs ไทย

ชนนันท์ กล่าวว่า ปัจจุบันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยจะมาจากผู้ประกอบการ SMEs เป็นเสาหลักที่สำคัญ ด้วยขนาดธุรกิจ (จีดีพี) ของผู้ประกอบการ SMEs อยู่ที่ 5.6 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34 ของขนาดเศรษฐกิจ (จีดีพี) ประเทศไทย และมีจำนวนผู้ประกอบการมากกว่า 3.1 ล้านราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการที่มีขนาดเล็กและกลุ่มไมโครเอสเอ็มอี ดังนั้นการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งถือเป็นหน่วยเศรษฐกิจที่มีความเปราะบางมากที่สุด

ในทางกลับกัน ในช่วงวิกฤติการณ์นี้ แนวโน้มของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซกลับเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากข้อมูลตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยปี 2563 ที่ผ่านมา มีการเติบโตสูงถึง 81% (ที่มา: ทีมวิจัย Google, Temasek และ Bain & Company, 2563) ด้วยมูลค่า 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 24,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 จึงเป็นสัญญาณสำคัญให้ผู้ประกอบการ SMEs ไทย ต้องปรับและเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจสู่อีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซอย่างเร็วที่สุด เพื่อพยุงธุรกิจให้ก้าวข้ามวิกฤตและสามารถดำเนินกิจการได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับ SHOPLINE เป็นผู้ให้บริการระบบจัดร้านค้าบนอีคอมเมิร์ซและโซเซียลคอมเมิร์ซแบบครบวงจร ทั้งเว็บไซต์ การตลาด การจัดการออเดอร์ เพื่อช่วยผู้ประกอบการร้านค้าออนไลน์เพิ่มยอดขาย และประหยัดเวลาได้มากขึ้น ปัจจุบัน มีบริการใน 7 ประเทศ ได้แก่ ไต้หวัน, ฮ่องกง, มาเลเซีย, เวียดนาม, จีน, สิงคโปร์ และไทย ด้วยจำนวนร้านค้าออนไลน์เข้ามาใช้บริการมากกว่า 250,000 ร้านค้า และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มของ SHOPLINE แล้วมากกว่า 80 ล้านคน

“จากการประเมินทิศทางตลาดอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่ผ่านมา เราเชื่อว่าจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนไทยทั้งในการใช้ชีวิตประจำวันและพฤติกรรมการจับจ่าย จะยิ่งทำให้ผู้คนหันมาซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น ปัจจัยดังกล่าวจะสนับสนุนให้การปรับกลยุทธ์ธุรกิจสู่อีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการพาธุรกิจข้ามวิกฤตการณ์นี้ไปได้” ชนนันท์กล่าว

ชู 3 กลยุทธ์ช่วย SMEs

ชนนันท์ กล่าวว่า SHOPLINE พร้อมเดินเกมรุกช่วยผู้ประกอบการ SMEs ไทยผ่านวิกฤตการค้าด้วยอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซ ผ่าน 3 กลยุทธ์สำคัญ โดยเริ่มที่การนำเสนอโซลูชันที่จะตอบโจทย์ธุรกิจ SMEs ให้สามารถเริ่มทำธุรกิจบนอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมด้วยการติดอาวุธผู้ประกอบการ SMEs ไทยในการทำธุรกิจบนอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซให้ประสบความสำเร็จ พร้อมด้วยการออกแพ็คเกจค่าบริการในราคาที่คุ้มค่ามากที่สุดเพื่อให้ผู้ประกอบการธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างไม่ลังเล

เริ่มที่กลยุทธ์ที่ 1 คือ การนำเสนอโซลูชันที่จะตอบโจทย์ธุรกิจ SMEs ด้วยโซลูชันของ SHOPLINE ที่มีครอบคลุมสำหรับร้านค้าออนไลน์ทั้ง บริการจัดการร้านค้าบนอีคอมเมิร์ซ หรือ E-commerce Solution ที่ช่วยตอบโจทย์ทุกธุรกิจครอบคลุม ตั้งแต่การเปิดร้านค้าออนไลน์และระบบจัดการหลังบ้าน ได้แก่ โซลูชันการสร้างเว็บไซด์สำหรับร้านค้าที่รองรับขนาดหน้าจอของอุปกรณ์ได้หลากหลายรูปแบบ ที่มาพร้อมด้วยระบบการจัดการร้านค้าออนไลน์ ทั้งระบบการจัดการออเดอร์ การจัดการสต็อกสินค้า การชำระเงิน การทำ ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า หรือ CRM เครื่องมือทางการตลาด การวิเคราะห์ข้อมูลและตัวติดตามทางการตลาดเพื่อช่วยกระตุ้นยอดขาย สามารถเชื่อมกับแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ อาทิ Google, Facebook, LINE OA เป็นต้น

สำหรับระบบการจัดการร้านค้าบนโซเชียลคอมเมิร์ซ หรือ Social Commerce Solution มีฟีเจอร์มากมาย อาทิ Shopline Live App ระบบตัวช่วยแม่ค้าออนไลน์ในการ live-streaming ขายสินค้าแบบครบวงจรที่สามารถช่วยจัดการออเดอร์ การตอบกลับลูกค้า และระบบการชำระเงิน อีกทั้งมีระบบการจัดการข้อความจากลูกค้า โดยมี Chatbot เพื่อการตั้งค่าคำถามที่ถูกถามบ่อย และสามารถเชื่อมต่อกับ LINE OA ได้

กลยุทธ์ที่ 2 ด้วยบริการเสริมองค์ความรู้ทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการไทย ด้วยการจัด webinar ของ SHOPLINE อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน รวมทั้งเปิดให้ผู้ประกอบการที่ต้องการอัพเดทความรู้ด้านธุรกิจและเทรนด์การตลาดดิจิทัลที่น่าสนใจ โดยสามารถลงทะเบียนร่วมงานได้ที่  http://bit.ly/SLWebinarRegister  นอกจากนั้น SHOPLINE ยังมีบทความดีๆ เพื่ออัปเดตความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจออนไลน์ผ่านทางห้องเรียน SHOPLINE ที่ https://blog.shopline.co.th

สุดท้ายอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ทาง SHOPLINE มีความตั้งใจที่จะทำเพื่อผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ คือ การเปิดตัวบริการด้วยแพ็คเกจค่าบริการแบบคุ้มค่า ด้วยราคาเริ่มต้นเพียงเดือนละ 599 บาท สำหรับบริการอีคอมเมิร์ซ หรือรวมสองแพ็กเกจทั้งอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซที่ราคาค่าบริการเพียง 1,190 บาทต่อเดือน สำหรับผู้ประกอบการในประเทศไทย

“ความท้าทายของผู้ประกอบการ SMEs ไทยในวันนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การผ่านวิกฤตการณ์โควิด 19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและพฤติกรรมของผู้คน แต่ยังรวมถึงการปรับกลยุทธ์ธุรกิจภายใต้ข้อจำกัด ทั้งด้านกำลังคน เงินทุน และความรู้ในการทำการตลาดดิจิทัล ที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs ไม่สามารถปรับตัวเข้าสู่การค้าบนอีคอมเมิร์ซและโซเชียลคอมเมิร์ซได้ทันเวลาและตอบโจทย์เป้าหมายธุรกิจ ด้วยโจทย์ที่ท้าทายนี้ SHOPLINE ขอเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเริ่มต้นธุรกิจบนออนไลน์ได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้”  ชนนันท์ กล่าวทิ้งท้าย

#Shopline #SMEs

you might like

Scroll to Top