Jia Jiang ชายผู้ทดลองถูกปฏิเสธ 100 ครั้ง สกัดเป็นสกิล ‘คัมภีร์หน้าหนา’

มาฝึกสกิล ‘หน้าหนา’ กับ Jia Jiang คนธรรมดาที่ไม่ได้เป็นด็อกเตอร์ หรือเป็นโปรเฟสเซอร์สถาบันการศึกษาชั้นนำที่ไหน แต่เขาทำงานวิจัยโดยเอาตนเองเป็นหนูทดลอง ด้วยการเดินไปร้องขอเรื่องบ้าบอ 100 ครั้งที่เสี่ยงต่อ ‘การถูกปฏิเสธ’ และก็โดนเซย์ NO ใส่จนหน้าชาและ…ทำให้เขาหน้าหนาขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค้นพบว่าคนสำเร็จเป็นพวกหน้าหนาที่ทนทานต่อการโดนปฏิเสธกันทั้งนั้นแหละ

The Optimized ชวนคุณไปฝึกซอฟต์สกิลที่ไม่ได้บรรจุในหลักสูตรที่ไหน แต่มีให้อ่านใน ‘คัมภีร์หน้าหนา’ หนังสือที่กลั่นกรองจากประสบการณ์จริงของเจีย เจียง ชายผู้โดนปฏิเสธ 100 ครั้งจนหน้าหนา

Photo: Rejectiontherapy.com

คนที่ไม่มีใครต้องการ

สมัยเรียนประถม ครั้งหนึ่งครูซื้อของขวัญใส่กล่องผูกโบว์สวยงามเตรียมไว้ 40 กล่อง แล้วให้นักเรียนทั้ง 40 คนมายืนหน้าชั้น แล้วให้นักเรียนเรียกชื่อเพื่อนคนหนึ่งเพื่อมอบคำชมอะไรก็ได้ เพื่อนคนนั้นจะได้รับของขวัญและเดินไปนั่งที่ได้

เจีย เจียงวัย 6 ขวบในเวลานั้นร้องเชียร์ดังกว่าใครเวลาเพื่อนถูกเรียกชื่อให้ออกไปรับคำชมและของขวัญ

จาก 40 ลดเหลือ 20 เหลือ 10 จนเหลือ 5 คนที่ไม่มีใครเรียกชื่อ

หนึ่งในนั้นคือเจีย ครูเห็นเขาและกลุ่มเพื่อนหน้าเสียจึงรีบแก้สถานการณ์ให้คนที่เหลือเดินไปหยิบของขวัญแล้วไปนั่งที่ได้ ก่อนจะตบท้ายว่า “ปีหน้าพวกเธอก็ทำตัวดีๆ ขึ้นหน่อยนะ เพื่อนๆ จะได้มีอะไรให้พูดชมได้”

วันนั้นกลายเป็นความทรงจำแย่ที่สุดของเด็กชายเจียเมื่อโดนปฏิเสธต่อหน้าต่อตาเพื่อนทั้งห้อง และเขาไม่เคยก้าวข้ามความกลัวจะโดนปฏิเสธอีกเลยไปอีกหลายสิบปี

Photo: Rejectiontherapy.com

คนเปลี่ยนโลกทุกคนคือคนหน้าหนา

เจียในวัย 14 ตื่นเต้นดีใจที่บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ Microsoft มาเยือนปักกิ่ง บ้านเกิดของเขา เจียตื่นเต้นมากเสียจนเขียนจดหมายจารึกปณิธาณของตนว่า ภายในอายุ 25 ผมจะทำบริษัทที่ร่ำรวยและไปซื้อไมโครซอฟต์

แล้วเจียก็อายุ 25 และบริษัทที่เขาใฝ่ฝันว่าจะก่อตั้งก็ยังเป็นแค่วุ้น

เพราะทุกครั้งที่เขาคิดอยากจะเสนอไอเดียใหม่ๆ ไปพิตช์งานกับนักลงทุน เด็กชายเจียวัย 6 ขวบที่กลัวการถูกปฏิเสธจะต่อสู้ทุ่มเถียงกับเด็กชายเจียวัย 14 ที่มีฝันยิ่งใหญ่

และเด็กชายเจียวัย 6 ขวบเป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง เจียที่โตเป็นผู้ใหญ่วัย 30 แล้วจึงถูกบงการให้กลัวหัวหดกับคำว่า NO มาเกินครึ่งชีวิต

เจียฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า บิล เกตส์ ฮีโร่ของเขาจะถอดใจง่ายๆ หรือเปล่าหากว่าโดนนักลงทุนปฏิเสธ

เขาเริ่มค้นหาข้อมูล อ่านเรื่องราวของผู้ที่ประสบความสำเร็จและคนเปลี่ยนโลกทั้งหลายโดนปฏิเสธอย่างร้ายกาจกว่าเขามากนัก อาทิ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์, คานธี หรือเนลสัน แมนเดล่า

หลายคนไม่ได้แค่เสียกำลังใจ แต่บางคนถึงกับเสียเลือดเสียเนื้อ หรือเสียชีวิตเพราะเจอกับการโดนปฏิเสธด้วยการใช้ความรุนแรง

Photo: globalleadership.org

ฝึกสกิลหน้าหนา 100 วัน

เจียค้นพบเกม Rejection Therapy ที่คิดค้นโดยเจสัน คัมลีย์ ชาวแคนาดาที่ทำการทดลอง 30 วันออกไปร้องขอผู้คนวันละครั้งที่เสี่ยงกับการโดนปฏิเสธ แต่เจียฮึดสู้ขยายการทดลองจาก 30 เป็น 100 วัน ลองดูซิว่าคนหน้าบางอย่างเขาจะมีภูมิคุ้มกันต่อคำว่า NO ได้สักกี่น้ำ

คำร้องขอของเจียนั้นเข้าข่าย ‘บ้าบอ’ ที่ใครได้ยินก็อาจจะตอบว่า ‘ไม่’ ได้ง่ายๆ เป็นต้นว่า ขอเงิน 100 ดอลลาร์สหรัฐจากชายคนหนึ่งที่เจอที่ห้าง ขอรีฟิลล์เบอร์เกอร์ (ตรรกะของเขาคือก็น้ำยังเติมฟรีได้ แล้วทำไมจะเติมเบอร์เกอร์ฟรีไม่ได้) แน่นอนว่าเขาได้รับ NO ตัวใหญ่ๆ

แต่จุดเปลี่ยนมาถึงเร็วกว่าที่คิด ในการทดลองครั้งที่ 3 ‘ขอให้ร้านคริสปีส์ ครีมทำโดนัท 5 ห่วงโอลิมปิก’ ปรากฏว่าพนักงานหน้าร้านชื่อแจ็กกี้รับฟังคำขอของเจียอย่างใส่ใจ เสิร์ชกูเกิลเพื่อเรียงลำดับสีให้ถูกต้อง และใช้เวลาทำโดนัทสดใหม่ที่เรียงร้อยกัน 5 ห่วงแบบสีถูกต้องเป๊ะ 15 นาที หนำซ้ำยังขอโทษขอโพยที่ทำดีที่สุดได้เท่านี้จริงๆ (เธอตัดครึ่งโดนัทสองห่วงล่างมาวางแปะกับโดนัท 3 ชิ้นด้านบน)

เจียโพสต์คลิปนี้ในยูทูบและได้ 5 ล้านวิวอย่างรวดเร็ว

แจ็กกี้ได้มอบบทเรียนล้ำค่าที่ทำให้เจียเดินหน้าต่อในการทดลองฝึกความหน้าหนาในวันที่เหลือได้ เพราะเขาค้นพบแล้วว่า

  • NO คือ โอกาส แม้จะโดนปฏิเสธ แต่หากอีกฝ่ายถามว่า WHY เขาจะร้องขอสิ่งนี้ไปทำไม นั่นคือโอกาสให้เราได้อธิบายความต้องการและเหตุผล
  • การโดนปฏิเสธไม่ใช่สิ่งที่นิยามความเป็นเรา มันเป็นแค่สิ่งที่เราร้องขอไม่ตรงกับความต้องการของอีกฝ่ายก็เท่านั้น
  • หากโดนปฏิเสธ เรามีสิทธิ์ถามกลับว่า WHY ได้เช่นกัน เพราะอะไรคุณจึงปฏิเสธ เช่น ในครั้งหนึ่งที่เจียไปเคาะประตูบ้านคนเพื่อขอปลูกดอกไม้หน้าบ้าน ชายเจ้าของบ้านปฏิเสธ เจียจึงถามต่อว่า เพราะอะไรหรือ ชายคนนั้นตอบว่า เพราะหมาของเขาจะขุดทุกอย่างที่เขาปลูกขึ้นมาน่ะสิ ทำไมเจียไม่ลองไปบ้านตรงข้ามดู เจ้าของบ้านจะดีใจมากเพราะเธอชอบดอกไม้ เป็นต้น
  • เราประสบความสำเร็จได้ แค่เริ่มร้องขอสิ่งที่ต้องการออกไป เช่น เจียไปขอบรรยายในคลาสสอนมหาวิทยาลัยเรื่องการโดนปฏิเสธนี่แหละ เขาเตรียมพาวเวอร์พอยต์และข้อมูลไปนำเสนอ อาจารย์เจ้าของคลาสปฏิเสธตลอด จนครั้งที่ 3 จึงใจอ่อนบอกว่าขอเวลา 2 เดือน แล้วจะบรรจุคลาสของเจียให้ ปรากฏว่าเขาได้สอนนักศึกษาจริงๆ จากที่เคยคิดมาตลอดว่าต้องจบด็อกเตอร์ก่อนจึงจะได้สอนในมหาวิทยาลัย

Photo: We Learn Book

คัมภีร์หน้าหนา

เจียโพสต์คลิปการทดลองในแต่ละวันในยูทูบ ซึ่งทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของเจีย จากแรกๆ ที่โดนปฏิเสธแล้วหันหลังวิ่งหนีทันทีด้วยความอาย แต่เมื่อดูคลิปไปเรื่อยๆ จะเห็นว่า แม้โดนปฏิเสธ แต่เจียพยายามตั้งหลักและต่อรอง เขาพยายามทำให้อีกฝ่ายรับฟังเขาด้วยการที่เขารับฟังเหตุผลของอีกฝ่ายก่อนว่าไม่ให้เพราะอะไร

เช่น เขาเคยไปขอเป็นพนักงานกล่าวต้อนรับที่สตาร์บักส์ ซึ่งไม่มีตำแหน่งนี้ ผู้จัดการร้านทำหน้าอิหลักอิเหลื่อจนเจียพูดว่า “มันฟังดูพิลึกมากเลยใช่ไหมล่ะ” ซึ่งทำให้ผู้จัดการร้านคลายท่าทีเนกาทีฟ และเริ่มเป็นมิตรกับเจียในเสี้ยววินาที จนในที่สุดผู้จัดการร้านก็อนุญาตให้เจียเป็นพนักงานต้อนรับที่สตาร์บักส์ได้ 1 ชั่วโมงตามที่ร้องขอ

เจีย เจียงเรียบเรียงการทดลองฝึกสกิลหน้าหนา 100 วันออกมาเป็นหนังสือ Rejection Proof : How I Beat Fear and Became Invincible through 100 Days of Rejection ฉบับแปลไทยครั้งแรกชื่อว่า 100 วันที่ผมสร้างภูมิต้านทานการถูกปฏิเสธ ซึ่งสำนักพิมพ์ WeLearn ปรับปรุงและเปลี่ยนชื่อใหม่ในชื่อว่า คัมภีร์หน้าหนา

เจีย เจียงกลายเป็นนักเขียนดัง ได้ลงสื่อ เดินสายบรรยายแม้แต่ที่ Google ซึ่งเจียบอกว่าเป็นบริษัทที่มีคนฉลาดๆ รวมตัวกันมากที่สุดในโลก แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ระคายเขาแม้แต่น้อย เพราะความตั้งใจจริงของเขาคือ แค่อยากเรียนรู้และเติบโต และเขาก็หวังว่าคัมภีร์หน้าหนาที่เขาเขียนขึ้นจะทำให้คนที่อ่านได้มุมมองใหม่ๆ ว่า

  • การโดนปฏิเสธคือกล้ามเนื้อ แปลว่ามันฝึกให้แข็งแกร่งได้ ถ้าเราไม่ออกไปนอกพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองบ่อยๆ เราจะอ่อนแอลงและขี้เหนียมอายปิดตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
  • การโดนปฏิเสธคือเกมของตัวเลขก็เท่านั้น จะโดนปฏิเสธสักกี่ครั้งก็อย่าได้ย่อท้อ สะสม NO ไปเรื่อยๆ แล้วคุณจะได้เจอคำตอบรับ YES ในที่สุด
  • การหลีกเลี่ยงไม่อยากโดนปฏิเสธนั้นแย่ยิ่งกว่าการโดนปฏิเสธเสียอีก คนส่วนใหญ่เชื่อว่าหลีกเลี่ยงไม่ทำอะไรที่จะโดนเซย์ NO สิดี ไม่เสียหน้า ไม่เสียใจ แต่นั่นเท่ากับว่าเราปฏิเสธตัวเองและความคิดของเราเองที่อยากนำเสนอก่อนที่คนอื่นจะปฏิเสธใส่เราด้วยซ้ำ สุดท้ายเป็นเราเองที่จะโดนโลกปฏิเสธ

ปล่อยให้พิซซ่าเท่านั้นแหละที่หน้าบาง!

Words: Sritala Supapong

ข้อมูลจาก

you might like

Scroll to Top